top of page
รูปภาพนักเขียนPanida Karlsson

10 Secrets About Behavioral Science (BeSci) You Didn’t Know Could Transform Your UX Design 🚀🧠



เจาะลึก 8 ฟีเจอร์เด็ดจาก Behavioral Science (BeSci) ที่ช่วยยกระดับ UX Design ของคุณ 🧠🚀

สวัสดีค่าา ชาว UX Designers ทุกคน! ถ้าคุณเคยสงสัยว่าทำไมผู้ใช้ถึงตอบสนองต่อการออกแบบที่ดูเรียบง่าย แต่กลับมีพลังดึงดูดจนต้องใช้งานบ่อยๆ วันนี้เรามีคำตอบ! การเข้าใจหลักการของ Behavioral Science (BeSci) สามารถช่วยให้การออกแบบ UX ของคุณมีความลึกซึ้งและตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น ไปดูกันว่าแต่ละฟีเจอร์ใน BeSci มีอะไรบ้างและช่วยการออกแบบ UX ได้อย่างไรบ้างค่ะ! 💡


1. BeSci as a Lens: มองปัญหาในแบบของ “พฤติกรรม” ของผู้ใช้ 🕶️

ฟีเจอร์: การใช้ BeSci เป็นเลนส์เพื่อทำให้เราเข้าใจว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นใน UX ไม่ใช่แค่ปัญหาของการออกแบบ แต่เป็นเรื่องของพฤติกรรม เช่น การที่ผู้ใช้ไม่คลิกปุ่มบางปุ่ม อาจไม่ได้มาจากการออกแบบที่ไม่น่าสนใจ แต่เพราะผู้ใช้รู้สึกว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

ใช้เลนส์ของ BeSci ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้เมื่อทำ User Research โดยสังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เพื่อระบุ Pain Points ที่แท้จริงของผู้ใช้ จากนั้นนำข้อมูลนั้นมาใช้ปรับ UX ให้ตรงใจผู้ใช้มากขึ้น

ประโยชน์ที่ได้:

ช่วยให้ทีม UX เข้าใจผู้ใช้ในระดับลึกซึ้งขึ้น และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาได้ตรงจุด #BehavioralLens #UserResearch


2. BeSci as a Tool: เครื่องมือในการสร้างประสบการณ์ที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ 🛠️

ฟีเจอร์: การใช้ BeSci เป็นเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงจิตวิทยาใน UX เช่น การเลือกใช้สี ปุ่ม หรือข้อความที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ให้ทำในสิ่งที่เราต้องการ

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

เมื่อต้องการให้ผู้ใช้ทำ Action ใด Action หนึ่ง (เช่น สมัครสมาชิก) ลองใช้การออกแบบที่ใช้จิตวิทยา เช่น ปุ่มสีสดใส ข้อความเชิญชวน หรือการสร้างความรู้สึกเร่งด่วน

ประโยชน์ที่ได้:

ช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้ให้ทำ Action ตามที่ต้องการได้ง่ายขึ้น เช่น การคลิกปุ่ม สมัคร หรือการกรอกแบบฟอร์ม #BehavioralTool #UserEngagement


3. Move Beyond Nudging - ไปไกลกว่าแค่ Nudging 🚀

ฟีเจอร์: หลายคนมองว่า BeSci เป็นแค่การทำ Nudging หรือการชี้นำผู้ใช้เล็กๆ น้อยๆ แต่จริงๆ แล้ว BeSci สามารถช่วยให้เราปรับปรุง UX ได้ในระดับลึก เช่น การเปลี่ยนแปลงการจัดวาง Layout หรือเนื้อหาที่จะทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

แทนที่จะให้ผู้ใช้กดปุ่มทันที ให้เราเริ่มต้นจากการออกแบบ Journey ของผู้ใช้ที่ชัดเจนและเป็นระบบ โดยใช้ Customer Journey Mapping ใน Miro เพื่อทำความเข้าใจแต่ละขั้นตอนที่ผู้ใช้จะต้องเจอ

ประโยชน์ที่ได้:

ช่วยเพิ่มความมีส่วนร่วมและความเข้าใจในพฤติกรรมผู้ใช้มากขึ้น #BeyondNudging #DeepUX


4. Understand Psychological Barriers - ลดสิ่งที่ขัดขวางผู้ใช้ 💥

ฟีเจอร์: การใช้ BeSci ช่วยให้เราเข้าใจ Psychological Barriers หรือสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้ไม่ตัดสินใจทำตามที่เราต้องการ เช่น การกลัวว่าจะทำผิด การไม่เข้าใจเนื้อหาหรือความซับซ้อนของขั้นตอน

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

เมื่อออกแบบหน้าลงทะเบียนหรือหน้า Checkout ให้ลองปรับความซับซ้อนของเนื้อหาให้ลดลง โดยใส่คำอธิบายที่เข้าใจง่ายๆ และจัดระเบียบข้อมูลให้เรียบง่าย

ประโยชน์ที่ได้:

ช่วยลดความสับสนและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ ทำให้พวกเขาตัดสินใจง่ายขึ้น #PsychologicalBarriers #SimplifyUX


5. Behavioral Patterns - มองหาแพทเทิร์นพฤติกรรม 🔄

ฟีเจอร์: BeSci ช่วยให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เช่น การคลิกปุ่ม การเลื่อนผ่านเนื้อหา หรือแม้กระทั่งการละทิ้งหน้าเว็บเมื่อถึงจุดหนึ่ง ทำให้เราสามารถออกแบบ UX ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมนั้นได้

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

ใช้เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ (เช่น Heatmap) เพื่อดูว่าผู้ใช้มีการโต้ตอบกับเว็บไซต์อย่างไร แล้วปรับ UX ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมเหล่านั้น

ประโยชน์ที่ได้:

ช่วยให้เราสร้าง UX ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ผู้ใช้ทำซ้ำๆ ทำให้ประสบการณ์การใช้งานราบรื่นขึ้น #BehavioralPatterns #UXDesign


6. Empathy Mapping - ทำแผนที่ความรู้สึกของผู้ใช้ 🧭

ฟีเจอร์: Empathy Mapping เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทีม UX เห็นภาพรวมของความรู้สึก ความคิด และความต้องการของผู้ใช้ ทำให้เราเข้าใจพวกเขามากขึ้น

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

เมื่อสร้าง Empathy Map ใน Miro ลองให้ทีมช่วยกันระบุว่า ผู้ใช้รู้สึกอะไรในแต่ละจุดของการใช้งาน และมองหาโอกาสที่จะเพิ่มคุณค่าของ UX ได้จากจุดนั้น

ประโยชน์ที่ได้:

ช่วยให้ทีม UX มองเห็นปัญหาและโอกาสในแต่ละจุดของการเดินทางของผู้ใช้ #EmpathyMapping #UserInsights


7. Contextual Design - ออกแบบให้สอดคล้องกับบริบทของผู้ใช้ 🌍

ฟีเจอร์: BeSci สอนให้เราเข้าใจว่าผู้ใช้ไม่ได้ใช้งานแอปหรือเว็บไซต์ในบริบทเดียวกันตลอดเวลา เช่น ใช้มือถือในที่มืดหรือที่สว่าง การออกแบบที่คำนึงถึง Context จะช่วยให้ UX ดีขึ้น

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

เมื่อออกแบบ UX ให้คิดถึงบริบทที่ผู้ใช้อาจใช้ เช่น การออกแบบโหมดกลางคืนสำหรับคนที่ใช้งานในที่แสงน้อย หรือการทำให้ปุ่มใหญ่ขึ้นสำหรับการใช้งานด้วยมือเดียว

ประโยชน์ที่ได้:

ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสะดวกและมีความพึงพอใจในการใช้งานทุกสถานการณ์ #ContextualDesign #UserExperience


8. Continuous Improvement - การพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด 🔄

ฟีเจอร์: การใช้ BeSci ช่วยให้เราเข้าใจถึงการปรับปรุง UX อย่างต่อเนื่อง เช่น การทดสอบ A/B หรือการทำ Survey เพื่อเก็บฟีดแบคของผู้ใช้ นำไปสู่การปรับปรุง UX ตามข้อมูลที่ได้รับ

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

ทดสอบฟีเจอร์ใหม่ด้วย A/B Testing แล้วนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุง UX ให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ UX มีความลื่นไหลและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้

ประโยชน์ที่ได้:

ช่วยให้ทีม UX สามารถพัฒนาและปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้อย่างต่อเนื่อง #ABTesting #UXImprovement


สรุป: เพิ่มพลังให้ UX ของคุณด้วยการใช้ Behavioral Science อย่างชาญฉลาด!

การนำ BeSci มาใช้ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบ UX แต่ยังช่วยให้ทีมออกแบบสามารถสร้างประสบการณ์ที่มีความเป็นมนุษย์และตอบสนองพฤติกรรมผู้ใช้ได้ดีขึ้น ลองนำไปใช้ในโปรเจกต์ต่อไปแล้วคุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน 🌈

ต้องการอ่านต่อเพิ่มเติม ได้จาก link https://miro.com/app/board/uXjVPIaVqYo=/

ดู 1 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comentários


bottom of page