8 Behavioral Biases You Didn’t Know Were Influencing Your UX Design Decisions 🧠✨
สวัสดีค่าาา UX Designers ทุกคน! 👋 เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมผู้ใช้ถึงทำอะไรที่ดูไม่สมเหตุสมผลเลยในแอปหรือเว็บของเรา? บางทีคำตอบอาจอยู่ใน "Behavioral Bias" หรืออคติทางความคิดที่ผู้ใช้ (และแม้แต่เราเอง) ติดตัวมาด้วยแบบไม่รู้ตัว! 🎯 วันนี้เราจะมาสำรวจ "Big Behavioral Biases" ที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามีผลกระทบมากขนาดนี้กับการออกแบบ UX ของคุณ อย่าลืมนำเอาไปใช้ในโปรเจกต์ถัดไปเพื่อให้ UX ของคุณตอบโจทย์และดึงดูดผู้ใช้ได้อย่างเต็มที่ค่ะ! 🎉
ข้อมูลนี้มาจาก Miro Board ที่ชื่อว่า "The Big Behavioral Bias" บอกเลยว่าเข้าใจง่าย ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ หรือมือโปร ต้องมีอะไรให้คุณนำไปปรับใช้แน่นอนค่ะ 💪
1. Anchoring Bias 🛠️: ยึดติดกับตัวเลขหรือข้อมูลแรกที่เห็น
อธิบาย: ผู้ใช้มักจะยึดติดกับข้อมูลแรกที่พวกเขาเห็น เช่น ราคาเริ่มต้นของสินค้า หรือจำนวนรีวิวที่เห็นก่อน ซึ่งทำให้พวกเขาตัดสินใจเร็วขึ้นว่ามันคุ้มค่า เมื่อผู้ใช้เห็นข้อมูลหรือราคาตัวแรก พวกเขาจะใช้ข้อมูลนั้นเป็นจุดอ้างอิงหลักในการตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น หากคุณบอกว่าราคาปกติคือ 5,000 บาท แต่ตอนนี้ลดเหลือ 2,500 บาท ผู้ใช้จะมองว่าดีลนี้ดีมาก เพราะพวกเขาอิงกับราคาที่สูงกว่าเป็นหลัก
วิธีใช้ใน UX:
ใช้ในหน้าราคาหรือส่วนลด โดยการแสดงราคาปกติที่สูงกว่าก่อน เพื่อทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าราคาที่เสนอในปัจจุบันคุ้มค่ากว่า หรือตั้งค่าตัวเลขอ้างอิงในฟีเจอร์ที่เราต้องการให้ผู้ใช้รู้สึกว่าดีลนี้คุ้มที่สุด
ประโยชน์ที่ได้:
ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่าพวกเขาได้ข้อเสนอที่คุ้มค่ามากขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่รวดเร็วขึ้น #AnchoringBias #UXTrick
2. Confirmation Bias ✅: มองหาสิ่งที่ยืนยันความเชื่อของตัวเอง
อธิบาย: ผู้ใช้จะมองหาหลักฐานที่สนับสนุนสิ่งที่พวกเขาเชื่ออยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้พวกเขาเลือกบางฟีเจอร์หรือสินค้าตามที่พวกเขาคิดไว้ คนเรามักจะหาและเลือกเฉพาะข้อมูลที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อหรือคาดหวังอยู่แล้ว หากผู้ใช้เชื่อว่าผลิตภัณฑ์นี้ดี พวกเขาจะพยายามหาข้อมูลหรือรีวิวที่สนับสนุนความคิดนั้น และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
วิธีใช้ใน UX:
ในการออกแบบ UX สามารถนำ Confirmation Bias มาใช้โดยการแสดงรีวิวหรือคอมเมนต์ในเชิงบวกในหน้าแรกๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้ หรือนำเสนอข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ประโยชน์ที่ได้:
สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้และทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าผลิตภัณฑ์นี้ตอบโจทย์ได้จริง #ConfirmationBias #UserTrust
3. Availability Heuristic 💡: สิ่งที่เห็นบ่อยๆ มักมีความสำคัญ
อธิบาย: สิ่งที่เห็นบ่อยๆ มักจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าสิ่งนั้นสำคัญกว่าจริงๆ เช่น การเห็นโปรโมชั่นเดิมซ้ำๆ จะกระตุ้นความสนใจมากขึ้น ผู้ใช้มักจะคิดว่าสิ่งที่เห็นบ่อยๆ มีความสำคัญและน่าเชื่อถือมากกว่าสิ่งที่พบน้อยๆ เช่น การแสดงข้อความโปรโมชันที่มีอยู่บ่อยๆ หรือการเห็นรีวิวจากผู้ใช้หลายครั้งในตำแหน่งที่ชัดเจน จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าสิ่งนั้นสำคัญและเชื่อถือได้
วิธีใช้ใน UX:
แสดงโปรโมชันหรือข้อความสำคัญในตำแหน่งที่ผู้ใช้เห็นบ่อยๆ เช่น ป๊อปอัพ โปรโมชัน หรือแบนเนอร์ จะช่วยดึงดูดความสนใจให้ข้อมูลนี้ดูสำคัญมากขึ้น
ประโยชน์ที่ได้:
เพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือให้กับฟีเจอร์หรือโปรโมชันต่างๆ #AvailabilityHeuristic #UserAttention
4. Loss Aversion 🔥: กลัวการเสียมากกว่าความอยากได้
อธิบาย: ผู้ใช้จะกลัวการเสียมากกว่าความรู้สึกดีจากการได้อะไรบางอย่าง ดังนั้นการสร้างความรู้สึกว่าอาจจะพลาดหรือเสียโอกาสไป จะช่วยกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจเร็วขึ้น คนเรามักจะกลัวการเสียมากกว่าความรู้สึกดีจากการได้ ดังนั้นหากผู้ใช้คิดว่าพวกเขาอาจพลาดสิ่งสำคัญหรือสิ่งที่คุ้มค่า พวกเขามักจะเร่งตัดสินใจเร็วกว่าปกติ
วิธีใช้ใน UX:
ใส่ข้อความหรือการแจ้งเตือนที่สร้างความรู้สึกกลัวการพลาด เช่น “โปรโมชันจะหมดในอีก 1 ชั่วโมง” หรือ “สินค้ากำลังจะหมด” จะช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้ตัดสินใจโดยเร็ว
ประโยชน์ที่ได้:
เพิ่มความเร่งด่วนและกระตุ้นการตัดสินใจของผู้ใช้ #LossAversion #CreateUrgency
5. The Halo Effect 🌟: มุมมองแรกที่ทำให้ประทับใจแล้วคิดว่าอย่างอื่นดีไปด้วย
อธิบาย: หากผู้ใช้ชอบดีไซน์แรกที่เห็น พวกเขาก็มักจะเชื่อว่าฟีเจอร์อื่นๆ ของแอปหรือเว็บก็ดีไปด้วย เมื่อผู้ใช้ประทับใจกับดีไซน์หรือข้อมูลเบื้องต้นของผลิตภัณฑ์ พวกเขามักจะสันนิษฐานว่าส่วนอื่นๆ ของผลิตภัณฑ์ก็ดีไปด้วย เช่น หากการออกแบบ UI สวยงาม ผู้ใช้อาจคิดว่าผลิตภัณฑ์นี้ดีเยี่ยม
วิธีใช้ใน UX:
ใส่ใจในการออกแบบหน้าจอแรกให้สวยงามและน่าเชื่อถือ เพราะจะช่วยสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้
ประโยชน์ที่ได้:
เพิ่มความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์และสร้างความประทับใจแรกที่ดี #HaloEffect #FirstImpression
6. IKEA Effect 🔧: รู้สึกว่าของที่ทำเองมีคุณค่ามากกว่า
อธิบาย: ผู้ใช้มักจะรู้สึกว่าของที่พวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างหรือตกแต่งจะมีคุณค่ามากกว่าของที่ได้รับมาโดยไม่ต้องทำอะไร เมื่อผู้ใช้มีส่วนร่วมในการสร้างหรือปรับแต่งผลิตภัณฑ์ พวกเขาจะรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นี้มีคุณค่ามากขึ้นเพราะมีการลงแรงและความคิดของตัวเองอยู่ในนั้น
วิธีใช้ใน UX:
เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งการใช้งานได้ เช่น เลือกธีมหรือปรับแต่งโปรไฟล์ เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกเป็นเจ้าของและมีความผูกพันกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น
ประโยชน์ที่ได้:
ช่วยสร้างความผูกพันและความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ #IKEABias #UserCustomization
7. Status Quo Bias 🛌: กลัวการเปลี่ยนแปลง อยากอยู่แบบเดิมๆ
อธิบาย: ผู้ใช้มักจะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ โดยเฉพาะถ้าเปลี่ยนแบบกระทันหัน เพราะความคุ้นเคยกับสิ่งที่ใช้อยู่ทำให้รู้สึกสบายใจ
วิธีใช้ใน UX:
หากต้องการเปลี่ยน UI หรือฟีเจอร์ ควรค่อยๆ เปลี่ยนทีละน้อย และแจ้งให้ผู้ใช้รู้ล่วงหน้า หรือให้พวกเขามีตัวเลือกในการใช้รูปแบบเดิมไปก่อนจนกว่าจะคุ้นเคย
ประโยชน์ที่ได้:
ลดความรู้สึกไม่สบายใจและเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้ในระยะยาว #StatusQuoBias #ChangeCarefully
8. Recency Bias 🔄: สิ่งที่เพิ่งเห็นล่าสุดจำง่ายกว่า
ผู้ใช้มักจำข้อมูลที่เพิ่งเห็นได้ง่ายกว่า ทำให้การแสดงข้อมูลสำคัญหรืออัปเดตล่าสุดใกล้กับจุดที่ผู้ใช้ทำการตัดสินใจ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้พวกเขาจำและนำไปใช้ได้ง่ายขึ้น แสดงข้อมูลใหม่ๆ หรืออัปเดตล่าสุดไว้ใกล้กับปุ่มหรือลิงก์สำคัญ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้คลิกและทำตามที่ต้องการ
ประโยชน์ที่ได้:
เพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้สนใจและมีส่วนร่วมกับข้อมูลใหม่ๆ #RecencyBias #UserEngagement
วิธีใช้ใน UX:
ลองใช้วิธีการแสดงข้อมูลใหม่ๆ ที่หน้าแรกของแอปหรือเว็บ เพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้กลับมาใช้งานบ่อยขึ้น #RecencyBias #UserEngagement
สรุป: ใช้ Behavioral Biases ในการออกแบบ UX ของคุณ
การเข้าใจและใช้ BeSci ช่วยให้เราสามารถพัฒนา UX ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง ลองนำ 8 Biases นี้ไปใช้ในการออกแบบของคุณ เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติและเข้าใจง่ายในการใช้งานมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือโปร Biases เหล่านี้จะช่วยให้ UX ของคุณดึงดูดและตอบโจทย์ผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ! 🎉
สนใจติดตามต่อได้ที่ : https://miro.com/app/board/uXjVP5oxtYw=/
Comments